Thursday, November 29, 2012

เคล็ดลับง่ายๆในการทำมะม่วงดอง-มะม่วงแช่อิ่ม



เงินลงทุน : ประมาณ 3,000 บาท
รายได้ : 500 บาท/10 กิโลกรัม
วัสดุอุปกรณ์
: โอ่งมังกรเบอร์ใหญ่  ถุงพลาสติก ไม้ไผ่ ขวดบรรจุมะม่วง มีด เขียง ตะแกรง  ภาชนะ เคลือบ

ส่วนผสมมะม่วงดอง :

- มะม่วงดิบ               120       ลูก
- ปูนแดง                       1     ถ้วยตวง
- เกลือ                       11        กิโลกรัม
- กรดมะนาว                  1       ขวด(แม่โขง)
- สีผสมอาหาร (สีเหลือง)        1     ช้อนโต๊ะ

mamoungdong01

วิธีทำ
:
1.  นำมะม่วงมาล้างน้ำให้สะอาดไม่ต้องปอกเปลือก แล้วผึ่งไว้
2.    นำโอ่งมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมะม่วงใส่ลงไปในโอ่ง เติมน้ำสะอาดลงไปให้เต็มใส่ปูนแดง กวนให้ละลายเข้ากันกับน้ำ ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 1 คืน
3.    ตอนเช้านำมะม่วงที่ได้จากข้อ 2 มาล้างน้ำให้สะอาด  เทน้ำในโอ่งทิ้ง ทำความสะอาดโอ่ง  แล้วนำมะม่วงมาเรียงลงในโอ่ง เติมน้ำให้เต็ม แล้วใส่เกลือ กรด  มะนาว   สีผสมอาหารลงไปคนให้ละลายจนทั่ว ใช้ไม้ขัดให้มะม่วงจมน้ำปิดปากโอ่งด้วยถุงพลาสติกให้แน่นทิ้งไว้ 25 วัน ก็จะได้มะม่วงดอง

ส่วนผสมมะม่วงแช่อิ่ม :

- มะม่วงดอง           10         กิโลกรัม
- น้ำตาลทราย             3            กิโลกรัม
- น้ำ                         3            ลิตร

mamoungdong02

วิธีทำ
:
1.    นำมะม่วงดองออกมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือก แล้วนำมาฝานเป็นชิ้น ๆ หรือตกแต่งให้เป็นรูปต่าง ๆ นำมาล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้ง มะม่วง 10 กิโลกรัม ปอกเปลือกแล้วฝานจะเหลือน้ำหนักประมาณ 7 กิโลกรัม
2.    นำน้ำตาลทราย แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนละ 1.5 กิโลกรัม ส่วนแรกนำไปเคี่ยวกับน้ำ 2 ลิตร จนเป็นน้ำเชื่อมนาน 20 นาที  เสร็จแล้วเทใส่ภาชนะเคลือบหรือสเตนเลสทิ้งไว้ให้เย็น
3.    นำมะม่วงลงแช่ในน้ำเชื่อมให้ท่วม แช่ทิ้งไว้ 1 คืน วันรุ่งขึ้นตักมะม่วงขึ้นมาใส่ตะแกรงผึ่งให้แห้ง นำน้ำเชื่อมที่เหลืออยู่ไปต้มให้เดือดเพิ่มน้ำตาลส่วนที่ 2 อีก 1.5 กิโลกรัม ไม่ต้องใส่น้ำเพิ่มเคี่ยวจนน้ำเชื่อมเหนียวทิ้งไว้ให้เย็นเทใส่หม้อเคลือบใบ เติม แล้วนำมะม่วงลงไปแช่อีกครั้ง ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วจึงนำมาบรรจุใส่โหลพร้อมน้ำเชื่อม ปิดฝาให้สนิท ส่งจำหน่ายลูกค้า

ตลาด/แหล่งจำหน่าย : ตลาดในท้องถิ่น มินิมาร์ท ห้างสรรพสินค้า

ข้อแนะนำ :

1.    มะม่วงที่นำมาทำมะม่วงดอง ควรเลือกมะม่วงแก้ว มะม่วงพันธุ์โชคอนันต์        หนังกลางวัน เพราะเนื้อจะแน่น
2.   น้ำที่นำมาดองห้ามใช้น้ำฝนเด็ดขาดเพราะมีความเป็นกรมจะทำให้มะม่วงเน่า
3.   เคล็ดลับความอร่อยของมะม่วงแช่อิ่มอยู่ที่ความสะอาด ในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการดองต้องล้างน้ำมากกว่า 5 ครั้ง หรือจนกว่าจะไม่มีกลิ่น และการทำน้ำเชื่อม  ต้องกรองให้สะอาด
4.    น้ำที่เหลือจากการดองมะม่วงอย่าเททิ้งลงในแหล่งน้ำธรรมชาติเพราะจะทำให้น้ำเน่าเสีย

Tuesday, November 20, 2012

การผสมเกสรมะม่วงโดยใช้แมลงวันและแมลงวันทอง

การผสมเกสรมะม่วงโดยใช้แมลงวันและแมลงวันทอง-3398_0.jpg


ต้นไม้บางต้นติดดอกเต็มต้น แต่ไม่ติดผลบางครั้งจะมีติดผลบ้างแต่น้อยเหลืิอเกินเมื่อเทียบกับดอกที่ออก มาให้เราเห็น ดูแล้วไม่สมดุลกัน บางครั้งก็เห็นติดลูกได้เยอะเหมือนกับระยะแรก แต่พอระยะหนึ่ง ก็จะร่วงจนหมด โดยเฉพาะไม้ผลอย่างมะม่วง บางทีลูกติดได้เท่ากำปั้นเด็ก 2 ขวบแล้วก็ยังร่วงหล่นอยู่อีก ปัญหานี้เกิดแล้วก็ได้แต่เดาเอาว่าเป็นโรค หรือเกิดจากแมลงเข้าทำลาย หรือขาดน้ำขาดอาหาร หรือเดาเอาอีกว่าขาดแร่ธาตุบางตัว แต่สิ่งเหล่านี้ก็มีส่วนที่ทำให้เป็นสาเหตุให้เกิดอาการดังกล่าวเหล่านั้น ได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่ คุณบุญช่วย วงษ์ษา เจ้าของสวนกลางนาพบเกิดจากการที่ดอกไม่ได้รับการผสมเกสรนั่นเอง
การผสมเกสรมะม่วงโดยใช้แมลงวันและแมลงวันทอง-mango-ub1.jpg
จาก การสังเกตและทดลองของตนเอง เมื่อนำผลที่ร่วงมาผ่าดูพบว่ามะม่วงไม่มีเมล็ด บางลูกมีเมล็ดแต่เป็นเมล็ดลีบ จากความรู้ที่ได้ศึกษาและรับการถ่ายทอดมาว่าถ้าพบเมล็ดในผลมะม่วงไม่มี หรือถ้ามีแล้วเมล็ดลีบ ให้ตั้งข้อสังเกตได้เลยว่า ช่วงมะม่วงออกดอกแล้วแต่ไม่ได้รับการผสมเกสร จึงพยายามคิดวิธีที่จะทำให้ดอกได้ผสมเกสรกันมากกว่านี้ เพราะช่วงเริ่มแรกของการทำสวนกลางนาตรงนี้แมลงอย่าง ชันณรง ผึ้ง ต่อ แตน แมลงภู่ยังมีไม่เยอะ จึงทำให้เกิดปัญญานี้ขึ้น จากแนวคิดและประสบการณ์ตรง ที่เกิดจากการสังเกตเห็นต้นไม้ที่นกหนูตายติดค้างอยู่บนต้นไม้ และเป็นช่วงที่มะม่วงกำลังออกดอกอยู่พอดี และต้นที่มีซากสัตว์ติดอยู่ดังกล่าว ผลผลิตติดลูกดก เมื่อเทียบกับต้นอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณแปลงเดียวกัน ดูแล้วสามารถแยกแยะเกิดข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จากการสังเกตเจาะลึกเพิ่มขึ้นหลายครั้ง จะพบว่าแม้ในต้นเดียวกัน การติดลูกก็ยังแตกต่างกัน เปรียบเทียบได้โดยเฉพาะกิ่งที่มีซากสัตว์ติดอยู่ และกิ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน จะติดผลดกเป็นพิเศษ จากการเฝ้าสังเกตช่วงดอกเริ่มแห้ง จะพบเปอร์เซ็นลูกเล็กติดมากกว่าช่อดอกกิ่งตรงข้าม เหตุการเช่นนี้เกิดขึ้นพบบ่อยอยู่เกือบตลอดเวลาทำให้ต้องค้นหาคำตอบให้ได้ และคำตอบของโจทย์นี้ก็คือ แมลงวันช่วยผสมเกสรให้ในช่วงนั้นพอดี เพราะซากสัตว์นี้เองที่ทำให้มีแมลงวัน มาช่วงนั้นเยอะ ดังนั้นการทดลองปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่องจึงเกิดขึ้น

เทคนิคการเรียกแมลงวันมาผสมเกสรให้กับมะม่วงช่วงออกดอก คือ เมื่อเห็นมะม่วงเริ่มออกดอกให้เฝ้าสังเกตว่าดอกมะม่วงบานแล้วหรือยัง ถ้าพบว่าดอกกำลังบานให้นำซากสัตว์อย่าง ไส้ปลา หัวปลาที่หาได้ง่ายนำมาใส่กะลา แล้วแขวนไว้ให้รอบต้นมะม่วงหรือในทรงพุ่มของต้นก็ได้ถ้าเอาไปแขวนใกล้ๆ ดอกจะยิ่งดีมาก หรือ ถ้าไม่อยากใช้กลิ่นซากสัตว์ก็ ให้นำผลไม้สุกมาใช้แทนซากสัตวก็ได้วิธีนี้จะทำให้มีแมลงวันอีกชนิดหนึ่งมา ช่วยผสมเกสรได้ คือ แมลงวันทองแต่ต้องระวัง หลังจากพบว่าดอกเริ่มแห้ง ให้รีบนำผลไม้หรือซากสัตว์ที่ใช้ล่อนั้นไปต้มในน้ำเดือด 10 นาที หรือฝังทำลาย การฝังต้องต้องขุดให้ลึกไม่น้อยกว่าหนึ่งไม้บรรทัดลงลงไปในดิน ไม่เช่นนั้นไข่แมลงวันทองจะฟักตัวได้แล้วจะกลับมาทำลายผลไม้ในสวนเราอีก และประโยชน์อีกอย่างของการใช้วิธีนี้คือการได้ควบคุมจำนวนของแมลงวันทองอีก ทางหนึ่งด้วย

ที่มา :
ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *1677
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี
แหล่งอ้างอิง :
บุญช่วย วงษ์ษา หมู่ที่11 ต.หนองแก อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี

ข้าวเหนียวมะม่วง...

ข้าวเหนียวมะม่วง...
อาทิตย์ที่แล้วแวะไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตของคนไทย...เจอมะม่วงแชมเปญ เลยซื้อกลับมา หวานอร่อยถูกใจดี

มะม่วงที่เมกาไม่อร่อยเหมือนมะม่วงบ้านเรา ลูกใหญ่จริง แต่รสชาติออกหวานอมเปรี้ยว คิดถึง มะม่วงน้ำดอกไม้ กับ มะม่วงอกร่องจัง



หุงข้าวเหนียวด้วยหม้อหุงข้าวอีกล่ะ แต่คราวนี้ไม่ได้ผสมกะทิลงไป รอให้ข้าวเหนียวสุก แล้วค่อยผสมข้าวเหนียวลงในกะทิที่ต้มไว้...

ทำแล้ว เอาไปแบ่งให้เพื่อนกินที่โรงเรียน...



ข้าวเหนียวสังขยา...


แปะสูตรสังขยา...เอาใจเจ๊หลีค่ะ ^^

- กะทิ 1 ถ้วย
- น้ำตาลปี๊ป 1 ถ้วย
- ไข่ 4 ลูก
ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วนำไปนึ่งด้วยไฟแรงครึ่งชม.







ส่วนผสมที่ใช้ทำข้าวเหนียวสังขยาทั้งหมด...



ทำข้าวเหนียวมูลด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าค่ะ...

พันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูก

มะม่วง นั้น ถือเป็นไม้ผลยอดนิยมชนิดหนึ่ง ซึ่งคนไทยเรานิยมปลูกเอาไว้ในรั้วบ้านน่ะนะคะ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งซึ่งทำให้คนไทยเรานิยมปลูกมะม่วงไว้รับประทานภายในบ้าน นั้น นอกจากจะเป็นเพราะมะม่วงเป็นไม้ผลที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ปลูกง่าย ดูแลรักษาไม่ยุ่งยากแล้ว ยังมีพันธุ์ให้เลือกปลูกมากมายหลายพันธุ์ แถมยังมีทรงพุ่มที่ร่มรื่น ให้ร่มเงาแก่บ้านได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ของมะม่วงนั้นมีมากมายหลายประการค่ะ เราสามารถนำผลของมะม่วงมาทำอาหารได้หลายหลากชนิดทั้งหวานคาว และยังสามารถใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้ของลำต้นได้อีกด้วย


พันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูก
ในบ้านเรานั้น สามารถแบ่งออกตามลักษณะของผลที่เก็บเกี่ยวได้ 3 ประเภทด้วยกันคือ

มะม่วงแบบรับประทานดิบ


มะม่วงประเภทนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกันค่ะ คือประเภทที่สามารถเก็บผลได้ตั้งแต่ระยะที่ผลเข้าไคล และจะมีรสหวานมันเมื่อแก่จัด ได้แก่ มะ่ม่วงพันธุ์เขียวเสวย มะม่วงแรด มะม่วงพิมเสนมัน มะม่วงทองดำ มะม่วงเขียวไข่กา มะม่วงแก้วลืมคอน มะม่วงลิ้นงูเห่า



มะม่วงเขียวเสวย

ส่วนอีกชนิดหนึ่งก็คือ ม่วงประเภทที่มีรสมันตั้งแต่ผลยังเล็ก ๆ ได้แก่ มะม่วงฟ้าลั่น มะม่วงหนองแซง มะม่วงแห้ว มะม่วงสายฝน ซึ่งมะม่วงพันธุ์ที่กล่างมานี้ หากปล่อยไว้ให้สุกจะให้รสหวานไม่มาก จึงไม่ควรเก็บเอาไว้จนสุกน่ะนะคะ

มะม่วงรับประทานสุก


มะม่วงประเภทนี้เป็นมะม่วงที่ต้องเก็บเมื่อแก่จัดแล้วจึงบ่มให้สุกเพื่อให้ มีรสหวานอร่อยค่ะ หากเก็บตอนยังดิบอยู่รสชาดจะออกเปรี้ยวค่อนข้างมาก เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงอกร่อง เป็นต้น


มะม่วงน้ำดอกไม้

มะม่วงใช้แปรรูป


มะม่วงประเภทนี้คือมะม่วงที่ให้ผลดกค่ะ จึงนิยมนำมาแปรรูปเพื่อเก็บรักษาเป็นของรับประทานในรูปแบบอื่น ตัวอย่างของมะม่วงประเภทนี้ก็คือ มะม่วงแก้ว ซึ่งสามารถนำมาทำ มะม่วงดอง มะม่วงกวน มะม่วงแผ่น ได้น่ะนะคะ

มะม่วงแก้ว

ในตอนหน้าของบล้อกสวนแสนรัก เราจะมารดูวิธีปลูกต้นมะม่วงในรั้วบ้านของเรากันค่ะ

แล้วกลับมาพบกับสวนแสนรักได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ


เรียบเรียงข้อมูลจาก หนังสือไม้ผลในรั้วบ้าน
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

มะม่วงถนอมสายตา

มะม่วง


มะม่วงถนอมสายตา (Mix)

          ใครชอบกินมะม่วงบ้าง ยินดีด้วยนะครับ เพราะจักษุแพทย์ของศูนย์แพทย์โรคตาในสหรัฐฯ ได้ออกมาระบุว่า มะม่วงเป็นผลไม้ยอดคุณที่ช่วยบำรุงรักษาสายตาได้อย่างดี

          เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในมะม่วงนั้นอุดมไปด้วยสิตามินซี อี  และเบตาแคโรทีน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้สายตาเสื่อมลง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

          ส่วนใครที่ไม่ชอบกินมะม่วง ก็อาจจะเลือกกินผลกีวีแทนก็ได้ครับ เพราะลูกกีวีมีโปแตสเซียมสูง รวมทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญเสียสายตาของผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูงด้วยได้

การให้น้ำต้นมะม่วง

สาวซน และนายแว่นธรรมดา ได้ต้นมะม่วงมาอีกหนึ่งต้น..

สาวซน และนายแว่นธรรมดายังคงช๊อปฯ ต้นไม้ต่ออย่างหนุกหนาน..



เลือกไม้ใหญ่ไปสองสามต้นละ.. ยังไม่มีไม้ผลไว้เก็บกินเลย..

สาวซน "เอ.. เรายังไม่มีไม้ผลไว้ปลูกหลังบ้านเลยนะ จะได้เอาไว้เก็บผลไม้กินฟรีๆ กับเขาบ้างอะ"

เถ้าแก่ร้านต้นไม้ "อืม.. ผมแนะนำต้นมะม่วงครับ นิยมปลูกกันมาก"

นายแว่นเห็นด้วยกับเถ้าแก่ร้านต้นไม้..

นายแว่น "อืม.. ก็ดีนะมะม่วงเป็นไม้ที่ค่อนข้างทนด้วย ถ้าเราดูแลดีๆ เผลอๆ ได้ลูกมะม่วงมากินฟรีๆ แล้วยังแบ่งแจกให้คนอื่นได้อีกด้วย"

สาวซนเห็นด้วยเช่นกัน อันที่จริงแล้วสาวซนก็ชอบกินมะม่วงอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวเหนียวมะม่วง..

สาวซน "แบบนี้จัดต้นมะม่วงมาอีกต้นเลยจ๊ะเถ้าแก่"

เถ้าแก่ "ได้ครับๆ"

ในที่สุดนายแว่นธรรมดา และสาวซนก็ได้ต้นมะม่วงมาปลูกอีกหนึ่งต้นแล้วล่ะ ต้นต่อไปจะเป็นต้นอะไรโปรดติดตามนะจ้า.. ^_^

http://garden-plus.blogspot.com/



การให้น้ำต้นมะม่วง

หลัง จากการปลูกใหม่ ๆ ถ้าฝนไม่ตกควรรดน้ำให้ทุกวัน และค่อย ๆ ห่างขึ้น เช่น 3-4 วันต่อครั้ง จนกว่าต้นมะม่วงจะตั้งตัวได้ การให้น้ำเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งในการปลูกมะม่วงเพื่อให้ผลได้อย่างเต็ม ที่การให้น้ำอย่างเพียงพอตามที่ต้นมะม่วงต้อง การ จะช่วยให้ต้นมะม่วงเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ไม่ชะงักการเจริญเติบโตทำให้ได้ผลเร็วขึ้น

การปลูกมะม่วงในที่ที่ น้ำไม่ อุดมสมบูรณ์ควรจะกะเวลาปลูกให้ดี ให้ต้นกล้ามะม่วงได้รับน้ำฝนนานที่สุด เพื่อต้นจะได้ตั้งตัวได้ก่อนที่จะถึงฤดูแล้ง หรือการปลูกต้นกล้วยก่อน แล้วจึงปลูกมะม่วงตามลงไปดังที่ได้กล่าวถึงแล้ว ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยประหยัดการให้น้ำได้มาก

การใส่ปุ๋ยต้นมะม่วง

มะม่วง ชอบดินที่โปร่ง ร่วนซุย การระบายน้ำและอากาศของดินดี จึงควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่นพวกปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ให้เป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อปร ับปรุงดินให้ร่วนซุยเหมาะต่อการเจริญเติบโตของต้นมะม่วง การใส่ปุ๋ยอินทรีย์อาจใส่ปีละสองครั้งคือ ต้นฝนและปลายฝน ปุ๋ยอิ นทรีย์นี้แม้จะมีธาตุอาหารที่พืชต้องการไม่มากนัก แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อดินในด้านอื่น ๆ นอกจากจะช่วยทำให้ดินดีขึ้น แล้ว ยังช่วยให้ปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไปนั้นถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น

สนับสนุนโดย..

http://tree-plus.blogspot.com/


เกษตรเชื่อมเครือข่ายมะม่วง ดันสมาคมชาวสวนมะม่วงไทยต้นแบบเครือข่ายผลไม้ระดับประเทศ


เกษตรเชื่อมเครือข่ายมะม่วง ดันสมาคมชาวสวนมะม่วงไทยต้นแบบเครือข่ายผลไม้ระดับประเทศ
นายอรรถ อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า กรมได้ดำเนินโครงการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิตมะม่วง ระดับประเทศปี 2554 เพื่อส่งเสริมให้เกิดเวทีเครือข่ายในการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งด้านการผลิต การตลาด และการแปรรูป ระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตมะม่วง ผู้ส่งออก และสถาบันวิชาการต่างๆ เนื่องจากมะม่วงเป็นไม้ผลที่มีศักยภาพสามารถปลูกได้เกือบทุกภาคของประเทศ เป็นผลไม้เขตร้อนที่ปลูกมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกและปลูกมากที่สุดในประเทศไทย ปริมาณการส่งออก จำนวน 47,613 ตัน มูลค่า 1,493 ล้านบาท

ทั้งนี้การที่มะม่วงเป็นไม้ผลเศรษฐกิจ เกษตรกรชาวสวนมะม่วงจึงได้มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มในรูปแบบต่าง ๆ เช่น กลุ่มปรับปรุงคุณภาพไม้ผล กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตมะม่วง และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วง เป็นต้น ต่อมาจึงได้จัดตั้งเป็นสมาพันธ์ชาวสวนมะม่วงแห่งประเทศไทยขึ้นเพื่อเป็น องค์กรหลักของเกษตรกรชาวสวนมะม่วงทั่วประเทศ และได้มีการดำเนินกิจกรรมต่างๆ มาในระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่เพื่อให้มีความเข้มแข็งทั้งด้านการควบคุมคุณภาพมะม่วงให้เป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐานการส่งออกและมีอำนาจในการต่อรองกับองค์กรอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ จึงได้จดทะเบียนเป็นสมาคมชาวสวนมะม่วงไทย เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2553 มีสมาชิกกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตมะม่วงทั่วประเทศ จำนวน 33 กลุ่ม กว่า 200 ราย จากทุกภูมิภาคของประเทศ

ส่วนแนวทางการพัฒนามะม่วงไทยให้มีศักยภาพนั้น ในระยะสั้นจะเน้นในด้านการสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรโดยเฉพาะสมาคมชาว สวนมะม่วงไทย ที่ต้องขยายความเป็นปึกแผ่นมากขึ้น ให้มีการรับสมัครสมาชิกเพิ่ม มีการวางแผนการตลาด การหารายได้ แผนการผลิต การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพมะม่วง ส่วนในระยะยาวภาครัฐจะสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งการผลิตโดยนำระบบ IT มาช่วยในการปรับการจัดการการผลิตการตลาด ข้อมูลทางด้านเทคโนโลยี การรับรองคุณภาพ แผนที่ภูมิสารสนเทศ ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภายนอกผ่านระบบ Internet และให้สมาคมชาวสวนมะม่วงไทยกำหนดมาตรฐานสินค้าในทิศทางเดียวกัน

สวนมะม่วง

สวนมะม่วง

สวนมะม่วง
สวนมะม่วง จ.ฉะเชิงเทรา เป็นจังหวัดที่มีการปลูกมะม่วงมากที่สุดของประเทศ วันนี้ นำข้อมูล พร้อมภาพ มาให้ดูและศึกษา กันค่ะ

สวนมะม่วง

สวนมะม่วง
สวนมะม่วง ฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดที่มีการปลูกมะม่วงมากที่สุดของประเทศ มีพื้นที่ประมาณ 86,000 ไร่ อำเภอที่ปลูกมากที่สุดคือ อำเภอบางคล้าและอำเภอแปลงยาว มะม่วงที่นิยมปลูกได้แก่ แรด เขียวเสวย น้ำดอกไม้ เจ้าคุณทิพย์ และทองดำ เป็นต้น มะม่วงจะเริ่มออกในเดือนมีนาคม ทางจังหวัดได้ จัดงานมะม่วง และ ของดีเมืองแปดริ้ว เป็นประจำทุกปี
สำหรับผู้ที่สนใจจะเที่ยวชมสวนมะม่วง ติดต่อที่สำนักงานเกษตรอำเภอบางคล้า โทร. 0 3854 1003 หรือ คุณมานพ แก้ววงษ์นุกูล ประธานชมรมสวนมะม่วงฉะเชิงเทรา โทร.0 3858 3734, 08 9938 9097

สวนมะม่วง

สวนมะม่วง
วันเปิดทำการ: ทุกวัน / เวลาเปิดทำการ: 08.30 – 16.30

Monday, October 1, 2012

มะม่วงน้ำดอกไม้

มะม่วงน้ำดอกไม้

มะม่วงน้ำดอกไม้
          มะม่วงน้ำดอกไม้เป็นมะม่วงประเภทรับประทานสุก มีผู้นิยมปลูกกันมาก มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว ใบใหญ่เป็นคลื่น ทรงพุ่มโปร่ง ส่วนมากมีนิสัยในการออกดอกทะวาย ออกดอกดก ติดผลปานกลาง ให้ผลทุกปี ผลมีขนาดใหญ่ หนักประมาณ 400 กรัม ผลอ้วนเกือบกลมหัวใหญ่ปลายแหลม ผลค่อนข้างยาว เนื้อมาก เมล็ดเล็ก มีผิวบาง เมื่อดิบมีรสเปรี้ยว ผิวสีเขียวนวล เนื้อแน่น เมื่อผลสุกมีผิวสีเหลือง กลิ่นหอม เนื้อละเอียดมีเสี้ยนน้อย รสหวาน
          มะม่วงน้ำดอกไม้มีเปลือกบางจึงช้ำได้ง่าย และไม่ค่อยต้านทานต่อโรคแอนแทรกโนส อายุตั้งแต่ออกดอกจนถึงผลแก่ประมาณ 115 วัน
          มะม่วงน้ำดอกไม้เป็นมะม่วงที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่ออกดอกง่าย สามารถตอบสนองต่อการบังคับให้ออกก่อนฤดูได้เป็นอย่างดี และเป็นพันธุ์ที่มีลักษณะตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ
          พันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันคือ น้ำดอกไม้เบอร์ 4 และน้ำดอกไม้สีทอง

ทรงพุ่มของมะม่วงน้ำดอกไม้

มะม่วงน้ำดอกไม้ที่อยู่ในระยะเก็บเกี่ยว

หลังจากการเก็บเกี่ยว

มะม่วงป่า

 มะม่วงป่า


  มะม่วงป่า

เลขทะเบียน :     7-53000-001-0162
ชื่อสามัญ :     -
ชื่อพื้นเมือง :     มะม่วงป่า,มะม่วงพรวน,มะม่วงเทพรส
ชื่อวิทยาศาสตร์ :     Mangifera coloneura    Kurz
ชื่อวงศ์ :     ANACARDIACEAE
ลักษณะ
ต้น :     ลำต้นตั้งตรง สูงตั้งแต่ 5 - 24 เมตร พุ่มกว้าง 5 - 35 เมตร สีของลำต้นเมื่ออ่อนจะมีสีน้ำตาลปนเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีเทา แตกเป็นสะเก็ด
ใบ :     เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบอ่อนสีน้ำตาลปนแดงเขียว ใบแก่เขียวแก่ กว้าง 3 .5 - 9 เซนติเมตร ยาว 12 - 38 เซนติเมตรการเรียงตัวเรียงสลับ
ดอก :     ดอกสีขาว หรือ เหลืองอ่อน กลีบเลี้ยงแยก 4-5 กลีบ มีกลิ่นหอม
ผล :     ผลมีเนื้อเมื่อดิบจะมีสีเขียวผลแก่จะมีสีเหลือง รสชาดแต่ละพันธุ์จะแตกต่าง เปรี้ยว หวานมัน กรอบ
เมล็ด :     มีลักษณะแบน สีขาวหรือเหลือง
การกระจายพันธุ์
     พบทั่วทุกภาค
การขยายพันธุ์
     ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดทาบกิ่ง การติดต่อ ต่อกิ่ง หรือ การเปลี่ยนยอด
ประโยชน์
ข้อมูลจากเอกสาร :     ผลอ่อนมีวิตามินซีป้องกันโรคผลสุก ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง และต้านความชรา
ข้อมูลจากภูมิปัญญาไทย :     ใบอ่อนใช้เป็นผักสด
เอกสารอ้างอิง    วีณา เชิดบุญชาติ. 2545 . ปลูกผักไทยได้ทั้งอาหารและยา . กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิซซิ่ง จำกัด.
ผู้สำรวจ    นางสาววิไลกรณ์แก้วก่ำ สถาบันราชภัฏอุตรดิตถ์วันที่ศึกษา 19 กุมภาพันธ์2543
ผู้ตรวจ    อาจารย์ฟองจันทร์บุญญานุภาพ

มะม่วง ผลไม้สารพัดประโยชน์

มะม่วง ผลไม้สารพัดประโยชน์

 

ประโยชน์ ของมะม่วง


MANGO
คุณค่าของมะม่วง

มะม่วง เป็นผลไม้ที่ทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก                                    
ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการของมะม่วง นั้นมีมากมาย ดังนี้    
     
-ไฟเบอร์ ช่วยในการย่อยอาหาร และเผาผลาญพลังงาน           
-วิตามิน เอ ซี และอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ                              

-โปแตสเซียม และทองแดง ช่วยให้ร่างกาย
ทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน

-สารฟลาโวนอยด์ กำจัดไขมันในเลือดได้
-สารไตรเทอปีน ต้านการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก                                       
และ มะเร็งผิวหนัง
-กรดอะมิโนทริปโตเแฟน ช่วยให้ร่างการหลั่งฮอร์โมน
โน เซโรโทนิน ทำให้ผ่อนคลาย และหลับสบ
าย

 

โรคของมะม่วง





โรคของมะม่วง

สุชาติ  วิจิตรานนท์, ขจรศักดิ์  ภวกุล  นักวิชาการโรคพืช  กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร
ดารา  พวงสุวรรณ  ผู้อำนวยการกองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร
โดยทั่วไปแล้ว มะม่วงเป็นพืชที่ค่อนข้างทนทานต่อการเข้าทำลายของโรคพืชหลายชนิด  และทนต่อสภาพแวดล้อมที่ผันแปรอย่างรวดเร็วได้ดีพอสมควร  แต่ในเรื่องของปริมาณและคุณภาพของผลผลิตมะม่วงแล้ว  มีโรคพืชหลายชนิดที่ทำลายความเสียหายโดยทำให้ผลผลิตลดลงหรือไม่มีผลผลิตเลย  และทำให้คุณภาพของผลผลิตไม่เป็นไปตามที่ตลาดต้องการ  ทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ  และนอกเหนือจากนั้นยังเป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญยิ่งต่อการผลิตมะม่วง เพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ หากปัญหาโรคต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ได้รับการเอาใจใส่  และแก้ไขอย่างถูกวิธี  สำหรับโรคของมะม่วงเท่าทีพบในประเทศไทยก็มีอยู่มากมายหลายชนิด  บางชนิดก็ทำความเสียหายให้อย่างรุนแรง  บางชนิดก็ไม่ทำความเสียหายมากนัก  ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้
1.  โรคแอนแทรคโนส
โรคแอนแทรคโนสเป็นโรคที่สำคัญโรคหนึ่งของมะม่วง  ทำความเสียหายต่อทั้งปริมาณและคุณภาพของผลผลิตมะม่วงเป็นอย่างมาก สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides Penz. ซึ่งสามารถเข้าทำลายได้เกือบทุกส่วนของมะม่วงไม่ว่าจะเป็นต้นกล้ายอดอ่อน  ใบอ่อน ช่อดอก ดอก ผลอ่อนจนถึงผลแก่ และผลหลังเก็บเกี่ยว  เชื้อราชนิดนี้นอกจากจะทำความเสียหายกับมะม่วงแล้ว  ยังสามารถทำให้เกิดโรคกับพืชอื่นได้อีกหลายชนิด เช่น ฝรั่ง ชมพู่ พุทรา องุ่น เป็นต้น  จึงทำให้มีการระบาดของโรคอย่างกว้างขวางในแหล่งปลูกมะม่วงของประเทศ  โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน  ซึ่งมีความชื้นสูงและมีอุณหภูมิที่เหมาะสมระหว่าง 24-32 องศาเซลเซียส  เชื้อรามีสาเหตุทำให้เกิดอาการอย่างน้อยก็เป็นจุดแผลตกค้างอยู่บนใน กิ่ง ผล และหากการเข้าทำลายของโรครุนแรงก็จะทำให้เกิดอาการใบแห้ง ใบบิดเบี้ยว และร่วงหล่น  ช่อดอกแห้ง ไม่ติดผล ผลเน่าร่วง ตลอดจนผลเน่าหลังเก็บเกี่ยว  ซึ่งจะเป็นผลเสียหายต่อการส่งมะม่วงไปจำหน่ายต่างประเทศ  หากไม่ได้รับการดูแลรักษาไม่ให้เชื้อโรคติดไปกับผลผลิต
ลักษณะอาการ
ในระยะกล้า จะพบอาการของโรคได้ทั้งที่ใบและลำต้น  ซึ่งทำความเสียหายให้กับการผลิตมะม่วงกิ่งทาบเป็นการค้ามาก  เพราะต้นกล้าที่เป็นโรคจะอ่อนแอหรือตายไปไม่สามารถจะใช้ทำเป็นต้นตอได้  อาการบนใบเริ่มแรกจะเป็นจุดเล็ก ๆ บนใบอ่อน มองดูใสกว่าเนื้อใบรอบ ๆ จุดนี้ จะขยายออกเป็นวงขนาดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับความชื้นและความแก่อ่อนของใบ  โดยจะเห็นขอบแผลชัดเจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม  ในสภาพความชื้นสูง  แผลที่เกิดบนใบอ่อนมาก ๆ จะมีขนาดใหญ่  ขยายออกได้รวดเร็ว และมีจำนวนแผลมากติดต่อกันทั้งผืนใบ  ทำให้ใบแห้งทั้งใบ  หรือใบบิดเบี้ยวเมื่อแก่ขึ้น เพราะเนื้อที่ใบบางส่วนถูกทำลายด้วยโรคในสภาพที่อุณหภูมิและความชื้นไม่ เหมาะสม และบนใบจะมีลักษณะเป็นจุดขนาดเล็ก กระจัดกระจายทั่วไป  บริเวณกลางแผลซึ่งมีสีน้ำตาลอ่อนกว่าขอบแผล  และมีลักษณะบางกว่าเนื้อใบ อาจจะฉีกขาดและหลุดออก เมื่อถูกน้ำทำให้แผลมีลักษณะเป็นรู คล้ายถูกยิ่งด้วยกระสุนปืน  ส่วนอาการที่ลำต้นอ่อนจะเป็นแผลสีค่อนข้างดำ  ลักษณะแผลเป็นรูปไข่ ยาวไปตามความยาวของลำต้น หากอาการโรครุนแรงและต้นกล้าอ่อนมาก ๆ แผลจะขยายอย่างรวดเร็วจนกระทั่งรอบลำต้น ทำให้ต้นแห้งตาย แต่ถ้าต้นกล้าเป็นโรคเมื่อเนื้อเยื่อเริ่มแก่แก้ว  แผลก็อาจจะลุกลามไปได้ไม่มากนัก  จะเป็นจุดแผลมีลักษณะเป็นวงรี สีดำ ยุบตัวลงไปเล็กน้อยบริเวณกลางแผลจะเห็นเม็ดสีดำ ๆ หรือสีส้มปนบ้างเรียงเป็นวง ๆ อยู่ภายในแผล  ซึ่งเป็นส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อราสาเหตุต้นกล้าที่เป็นโรคจะอ่อนแอ เจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่  หรืออาจตายไปในที่สุด  ถ้าโรคนี้เกิดกับยอดอ่อนก็จะทำให้ยอดแห้งเป็นสีน้ำตาลดำ และอาจตายทั้งต้นได้เช่นเดียวกัน

ในระยะต้นโต เชื้อโรคจะเข้าทำลายได้รับใบอ่อน ยอดอ่อน หรือช่อดอก โดยจะทำให้เกิดลักษณะอาการคล้าย ๆ กับที่ร่วงหล่น  ผลที่มีขนาดโตขึ้นแต่ยังไม่แก่ก็เป็นโรคได้เช่นเดียวกัน  หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม  กล่าวคือมีความชื้นสูง และอุณหภูมิพอเหมาะ(24-32 องศาเซลเซียส) ลักษณะอาการบนผลจะเป็นจุดสีดำ  รูปร่างกลม หรือรี ขนาดอาจจะพบรอยแตก  และมีเม็ดเล็ก ๆ สีดำเรียงรายเป็นวงภายในแผล  ซึ่งอาการจุดบนผลนี้ ชาวสวนมะม่วงแถบบางคล้าเรียกว่าโรค “โอเตี้ยม” ซึ่งหมายถึงจุดสีดำเมื่อมะม่วงเริ่มแก่  ในระหว่างการบ่มหรือการขนส่ง  จุดแผลเหล่านี้จะขยายใหญ่ขึ้น และลุกลามออกไปทำให้ผลเน่าทั้งผลได้  อาการจุดเน่าดำบนผลนี้พบทำความเสียหายกับมะม่วงเกือบทุกพันธุ์  หากมีสภาพความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม  โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง  สำหรับภาคกลางเช่นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มักจะมีฝนตกนอกฤดูในราวเดือนกุมภาพันธ์ หรือมีนาคม  ซึ่งเป็นช่วงที่มะม่วงใกล้แก่  หากเกษตรกรไม่ได้พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชทันท่วงที ก็จะทำให้ผลผลิตมะม่วงได้รับความเสียหายจากโรค  ผลเน่าที่เกิดจากเชื้อราโรคแอนแทรคโนสอย่างรุนแรง  นอกจากนี้แล้ว  เชื้อราโรคแอนแทรคโนส  ยังสามารถติดอยู่กับผลได้โดยไม่ทำให้เกิดลักษณะอาการหากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะ สม  และจะไปแสดงอาการเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ผลสุก หรือมีความชื้นสูงในระหว่างการเก็บรักษาหรือในหีบห่อที่บรรจุเพื่อการขนส่ง  เป็นต้น  ซึ่งก็ทำความเสียหายเป็นอย่างมากได้เช่นเดียวกัน

การป้องกันกำจัด
โรคแอนแทรคโนสสามารถป้องกันกำจัดได้โดยการใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชหลาย ชนิด ซึ่งการใช้สารเคมีเป็นวิธีการเดียวที่จะลดความเสียหายจากโรคนี้ได้อย่างรวด เร็ว  และทันต่อเหตุการณ์ ถึงแม้ว่ามะม่วงแต่ละพันธุ์จะมีปฏิกิริยาต่อการเกิดโรคแอนแทรคโนสแตกต่างกัน ออกไปบ้างก็ตาม แต่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแล้ว  เชื้อราสามารถเข้าทำลายทำความเสียหายต่อใบ ดอก และผลของมะม่วงที่ปลูกเป็นการค้าได้ทุกพันธุ์  และการใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชนั้น  จะต้องใช้ให้ถูกกับจังหวะการเข้าทำลายของเชื้อโรค  ทั้งนี้  เพื่อลดความสิ้นเปลืองและช่วยให้สารเคมีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การฉีดพ่นในช่วงที่มะม่วงเริ่มแตกใบอ่อน  ในช่วงการออกดอกและติดผล  ซึ่งเป็นช่วงที่มะม่วงมีความอ่อนแอต่อการเข้าทำลายของเชื้อโรคเป็นต้น  สารป้องกันกำจัดโรคพืชหลายชนิด  สามารถนำไปใช้ในการป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนสได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เบนโนมิล(benomyl), คอปเปอร์อ๊อกซี่คลอไรด์(copper oxychloride) เป็นต้น  ซึ่งการเลือกใช้สารชนิดใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคที่เกิดในแต่ละสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน สารเคมีประเภทดูดซึม  เช่น  เบนโนมิล(benomyl) อาจจะใช้ได้ดีกว่าในการฉีดพ่นในช่วงที่มีฝนชุก  หรือในช่วงผลใกล้เก็บเกี่ยว เพราะจะมีผลต่อคุณภาพของผลผลิตหลังเก็บเกี่ยวด้วย  นอกจากนี้  ช่วงเวลาการฉีดพ่นของสารเคมีประเภทดูดซึม จะนานกว่าการใช้สารเคมีประเภทสัมผัส (contact หรือ conventional) ซึ่งช่วงเวลาการฉีดพ่นสารเคมีโดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 10-15 วัน
การป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนสสำหรับมะม่วงที่จะผลิตเพื่อการส่งออกนั้น จะต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอโดยในช่วงที่มะม่วงผลิใบอ่อนในฤดูฝน  การฉีดสารเคมีป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนสที่ใบสำหรับแหล่งที่มีโรคแอนแทรคโน สระบาดเป็นประจำเพื่อลดความเสียหายจากการเกิดโรคที่ใบ  อันจะมีผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของใบและจะมีผลต่อการออกดอก  ติดผลที่สมบูรณ์ต่อไป  นอกจากนั้นยังเป็นการลดปริมาณเชื้อราโรคแอนแทรคโนสในแปลงปลูกได้เป็นอย่างดี การตัดแต่งกิ่งเป็นโรคและกิ่งอ่อนที่เกิดตามโคนกิ่งใหญ่ในทรงพุ่ม  ซึ่งเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเผาทำลายเสีย  ก็เป็นการลดปริมาณเชื้อโรคได้อีกวิธีหนึ่ง
ก่อนที่มะม่วงจะเริ่มแทงช่อดอก ควรทาการฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดแมลงและโรคพืชครั้งหนึ่ง  เพื่อลดปริมาณแมลงและโรคที่จะมารบกวนช่อดอกใหม่ที่เริ่มผลิ  หลังจากนั้นควรทำการฉีดพ่นเป็นระยะ ๆ ทุก 10-15 วัน จนกระทั่งมะม่วงติดผลอ่อน ในระหว่างที่ผลมะม่วงกำลังเจริญเติบโตระยะเวลาการฉีดพ่นสารเคมีอาจจะนาน ขึ้น  ซึ่งขึ้นกับแหล่งปลูกที่มีการระบาดของโรคแตกต่างกันออกไปตามสภาพภูมิประเทศ และสภาพการปลูกถี่ปลูกห่าง  ก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 14-15 วัน  ควรฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชประเภทดูดซึม  เช่น เบนโนมิล(benomyl) อีกครั้งหนึ่ง  จะช่วยลดความเสียหายจากการเกิดผลเน่าหลังเก็บเกี่ยวได้เป็นอย่างดี
ข้อควรระวังในการใช้สารเคมีประเภทดูดซึมชนิดที่ใช้เฉพาะกลุ่มเชื้อ เช่น เบนโนมิล(benomyl) นั้นไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน ๆ เพราะเชื้อรามีโอกาสที่จะสร้างความต้านทานต่อสารเคมีได้ง่าย  ดังนั้นในการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรคในช่วงออกดอกติดผลมะม่วงนั้น  ควรใช้สารเคมีชนิดอื่น ฉีดพ่นสลับกันบ้างตามความเหมาะสม  เช่น ระยะดอก อาจจะใช้ แมนโคเซบ(mancozeb)หรือ เบนโนมิล(benomyl) ระยะติดผลอ่อนใช้ แคปแทน(captan)หรือ คอปเปอร์ฟังจิไซด์(copper fungicides) ระยะผลโตใช้ เบนโนมิล (benomyl) เป็นต้น

2.  โรคราแป้ง
โรคราแป้งของมะม่วง เป็นโรคที่สำคัญโรคหนึ่ง พบระบาดทั่ว ๆ ไปในแหล่งปลูกมะม่วงของประเทศต่าง ๆทั่วโลกในประเทศไทยส่วนใหญ่พบเป็นกับมะม่วงที่ปลูกในที่สูงบริเวณภาคเหนือ ของประเทศไทย โรคนี้เกิดจากเชื้อรา Oidium mangiferae Benthet  ซึ่งสามารถเข้าทำลายได้ทั้งที่ใบ ดอก ช่อดอกและผลอ่อน แต่บริเวณที่ราบภาคเหนือ  ภาคกลาง ภาคตะวันออก นั้นพบอาการของโรคที่ดอกและผลเท่านั้นไม่พบลักษณะอาการบนใบเลย

ลักษณะอาการ
อาการเริ่มแรกจะเกิดที่ใบอ่อน  จะเห็นบริเวณที่เชื้อราเข้าทำลายจะมีสีผิดปกติไปจากสีของเนื้อใบเล็กน้อย  ถ้าสังเกตดูจะเห็นลักษณะผงสีขาวขึ้นบาง ๆ ส่วนใหญ่จะพบใต้ใบ  อาการต่อมาบริเวณที่เป็นโรคจะมีสีเหลืองจาง ๆ ถ้าสภาพอากาศเหมาะสมจะเป็นผงสีขาว ๆ ชัดเจนขึ้น หลังจากนั้นแผลจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนและเข้มขึ้นตามลำดับ  ซึ่งใบก็จะเริ่มแก่มีสีเขียวเข้มตัดกับบริเวณเป็นโรคซึ่งมีสีน้ำตาลแก่ ในระยะนี้อาจจะเห็นผงสีขาวใต้ใบหรือบนใบแต่จะไม่ขึ้นฟูเหมือนในระยะใบอ่อน  ถ้าเกิดโรครุนแรงใบที่เป็นโรคอาจจะบิดเบี้ยวเสียรูปทรงไป
อาการที่ช่อดอก  จะเห็นผงสีขาวขึ้นฟู ตามก้านชูดอกและก้านช่อดอกย่อย  และดอกซึ่งจะทำให้ดอกร่วงไม่ติดผล  ส่วนของก้านช่อดอกจะยังคงมีสีขาวปกคลุม  ซึ่งต่อมาจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ โรคนี้มักจะพบในช่วงฤดูหนาวเมื่อมะม่วงเริ่มออกดอก  ในราวเดือนธันวาคม  มกราคม แต่อาจจะพบอาการของโรคได้จนถึงเดือนเมษายน  ซึ่งช่อดอกที่เป็นโรคนี้มักจะไม่ติดผลและมักจะพบเป็นกับช่อดอกที่อยู่บริเวณ ตอนล่างหรือกลาง ๆ ลำต้น  หรือช่อดอก ที่อยู่ในพุ่มใบสำหรับในบ้านเราจะพบอาการโรคราแป้งที่เกิดบนใบเฉพาะมะม่วง ที่ปลูกในที่สูงมาก ๆ ส่วนในพื้นที่ราบจะพบเพียงแต่ระบาดทำลายในช่วงออกดอกติดผลอ่อนเท่านั้น

การป้องกันกำจัด
สารเคมีที่ใช้ป้องกันกำจัดโรคราแป้ง ได้แก่ กำมะถันผล, ไดโนแคป(dinocap), เบนโนมิล (benomyl) ไตรอะไดเมฟอน (triadimefon) ฯลฯ การป้องกันกำจัดโรคราแป้งที่ระบาดในระยะมะม่วงออกดอกทำได้โดยการฉีดพ่นสาร เคมีในช่วงที่ดอกยังไม่บานครั้งหนึ่ง  สำหรับกำมะถันผง ควรจะฉีดพ่นในตอนเช้าขณะที่แดดยังไม่ร้อนจัด  หากยังมีโรคระบาดอยู่ ก็ควรฉีดอีกครั้ง  ในระยะติดผลอ่อน
3.  โรคราดำ
โรคราดำเป็นโรคที่สำคัญโรคหนึ่งของมะม่วง  พบทั่ว ๆ ไปในแหล่งปลูกมะม่วงของประเทศ  ราดำที่จะกล่าวถึงนี้มีหลายชนิดด้วยกัน  แต่ในบ้านเราเท่าที่พบเห็นทั่ว ๆ ไป คือ ชนิดที่ขึ้นปกคลุมใบเป็นแผ่นสีดำซึ่งเมื่อแห้งอาจจะร่อนหลุดออกเป็นแผ่น ๆ อีกชนิดหนึ่งขึ้นบนใบมีลักษณะคล้ายดาวเป็นแฉก ๆ ราดำเหล่านี้ไม่ได้ดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืชโดยตรงแต่อาจมีผลต่อการเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูที่มะม่วงออกดอกหากมีราดำขึ้นปกคลุมดอก  ก็จะเป็นผลให้การผสมเกสรของดอกไม่สามารถจะเกิดขึ้น  เนื่องจากมีเชื้อราขึ้นปกคลุมปลายเกสรตัวเมีย
ปกติแล้วราดำมีอยู่ทั่ว ๆ ไปในอากาศแต่ไม่สามารถจะเจริญขึ้นบนใบหรือช่อดอกมะม่วงได้หากไม่มีแมลงพวก ปากดูด  อันได้แก่  เพลี้ยจั๊กจั่น  หรือแมงกะอ้า  ซึ่งเป็นตัวสำคัญ  เพราะแมลงพวกนี้จะขยายพันธุ์เป็นจำนวนมากในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูที่มะม่วง กำลังออกดอก  แมลงดังกล่าวนี้จะดูดกินน้ำเลี้ยงของพืช เช่น ตามยอดอ่อนและช่อดอก  แล้วจะถ่ายสารซึ่งมีลักษณะคล้ายน้ำหวานออกมาฟุ้งกระจายไปเคลือบตามบริเวณใบ และช่อดอก  ซึ่งเชื้อราดำในอากาศก็จะสามารถขึ้นได้และทำให้การติดดอกออกผลของมะม่วงลดลง หรือไม่ติดผลเลย
นอกจากแมลงพวกเพลี้ยจั๊กจั่นแล้ว ยังมีแมลงอื่นที่สามารถดูดกินและถ่ายน้ำหวานออกมา เช่น เพลี้ยหอยและเพลี้ยแป้ง

การป้องกันกำจัด
เนื่องจากโรคนี้เกิดจากแมลงเป็นสาเหตุสำคัญ ดังนั้น  การป้องกันกำจัด จึงควรป้องกันกำจัดแมลงพวกเพลี้ยจั๊กจั่นหรือแมงกะอ้า  ในช่วงที่มะม่วงเริ่มแทงช่อดอกการที่จะสังเกตว่าต้นมะม่วงในสวนมีแมลงพวกเพ ลี้ยจั๊กจั่นทำลายหรือไม่  อาจจะทำได้โดยการเดินเข้าไปใต้พุ่มมะม่วง  หากได้ยินเสียงคล้ายฝนตก ซึ่งคือเสียงที่แมลงพวกนี้ตื่นตกใจกระโดดไปเกาะยังที่อื่น ก็แสดงว่ามีแมลงพวกนี้อยู่มาก  ยาที่ใช้ได้ดีในการป้องกันกำจัดแมลงพวกนี้ได้แก่ คาร์บาริล(carbaryl) 85% WP ซึ่งควรที่จะทำการป้องกันกำจัดแมลงนี้ในช่วงก่อนที่มะม่วงจะออกดอกครั้ง หนึ่งก่อน  หากยังมีการทำลายของแมลงพวกเพลี้ยจั๊กจั่นอีก  ก็ควรฉีดพ่นอีกครั้งในระยะดอกตูม

4. โรคใบจุดสนิม
โรคใบจุดสนิม  เป็นโรคที่พบได้ทั่ว ๆ ไปในมะม่วงที่ปลูกในแหล่งที่มีความชุ่มชื้นสูง เช่น ทางภาคตะวันออกและภาคใต้ และมักจะพบในมะม่วงที่ไม่ได้รับการดูแลรักษา  สาเหตุของโรคคือสาหร่ายสีเขียวชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Cephaleuros virescens Kunze ซึ่งสามารถขึ้นได้บนใบและกิ่ง  นอกจากมะม่วงแล้วยังสามารถขึ้นได้บนใบพืชได้อีกหลายชนิด เช่น ทุเรียน เงาะ ฝรั่ง ส้ม

ลักษณะอาการ
เริ่มแรกจะเป็นจุดเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายดาวขึ้นบนหน้าใบใบ  มีลักษณะสีเขียวปนเทา  ซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นและจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ายสนิม  ซึ่งเป็นระยะที่สาหร่ายพวกนี้สร้างอวัยวะขยายพันธุ์  ซึ่งจะแพร่ระบาดไปยังใบอื่นได้  เนื่องจากสาหร่ายเป็นพืชขนาดเล็กที่ต้องการแสงแดดและความชื้นสูง  ดังนั้น  อาการของโรคจึงมักจะเกิดบนใบหรือกิ่งที่ได้รับแสงแดดเสมอ
โรคนี้ปกติจะไม่ทำความเสียหายให้กับมะม่วงมากนัก  นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงการไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทั่วถึงสำหรับการ ป้องกันกำจัด  หากระบาดรุนแรงควรฉีดพ่นด้วยสารประกอบพวกทองแดง เช่น คอปเปอร์อ๊ออกซี่คลอไรด์(copper oxychloride)

5. โรคราสีชมพู
โรคราสีชมพูเป็นโรคหนึ่งที่ทำความเสียหายให้กับมะม่วงที่ปลูกในแถบที่มี อากาศชุ่มชื้นหรือในสวนมะม่วงที่ไม่ได้รับการดูแลรักษา  โรคนี้จะเข้าทำลายบริเวณกิ่งทำให้กิ่งแห้ง  ใบเหลือง เกิดจากเชื้อรา Corticium salmonicolor Berk et Br. ซึ่งเชื้อราพวกนี้สามารถทำลายพืชอื่นได้หลายชนิด เช่น ส้ม ทุเรียน ขนุน ยางและกาแฟ

ลักษณะอาการ
ส่วนใหญ่จะสังเกตเห็นอาการเมื่อใบเหลือง หรือร่วงแล้ว ถ้าตรวจดูตามกิ่งที่ใบร่วงนั้นจะเห็นเชื้อราสีขาวมีลักษณะเป็นผง ๆ ขึ้นตามกิ่ง เมื่อเฉือนเปลือกออกบาง ๆ จะเห็นว่าบริเวณเปลือกที่มีราขึ้น ทำลายนั้นจะเป็นสีน้ำตาล  ซึ่งถ้าเชื้อราเจริญรอบกิ่งก็จะทำให้กิ่งแห้งตายในที่สุด  เชื้อราสีขาวจะค่อย ๆ แก่ขึ้นจนเห็นมีลักษณะสีชมพูปนอยู่

การป้องกันกำจัด
โดยการตัดกิ่งที่เป็นโรคทิ้งทำลายเสีย  การตัดแต่งกิ่งมะม่วงเอากิ่งย่อยที่อยู่ในทรงพุ่มออก  ทำให้ทรงพุ่มต้นมะม่วงโปร่ง ปริมาณความชื้นในทรงพุ่มก็จะลดลงเป็นการลดความเสียหายจากการเป็นโรคนี้อีก วิธีหนึ่ง  การตรวจตราต้นมะม่วงอยู่เสมอ ๆ จะช่วยให้สามารถเห็นลักษณะอาการของโรคได้ตั้งแต่ยังเป็นไม่มาก  ซึ่งทำให้การบำบัดรักษาทำได้ง่ายโดยการถากเปลือกบริเวณที่เป็นโรคออกให้หมด แล้วทาด้วยยากันราพวกสารประกอบทองแดง เช่น คอปเปอร์อ๊อกซี่คลอไรด์(copper oxychloride) ในบริเวณที่มีโรคระบาดมากอาจจะใช้ยาดังกล่าวทาหรือฉีดพ่นตามกิ่งที่อยู่ใกล้ กับกิ่งเป็นโรค

มะม่วง โคก เปา แป โตร้ก สะเคาะ หมักโม่ง มั่งก้วย

มะม่วง

ชื่อวิทยาศาสตร์

Mangifera indica Linn.

ชื่อวงศ์

ANACARDIACEAE

ชื่อสามัญ

Mango Tree

ชื่อท้องถิ่น

  • ทั่วไป เรียก มะม่วงบ้าน, มะม่วงสวน
  • กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี เรียก ขุ ,โคก
  • จันทบุรี เรียก เจาะ ช๊อก ช้อก
  • นครราชสีมา เรียก โตร้ก
  • มลายู-ภาคใต้ เรียก เปา
  • ละว้า-เชียงใหม่ เรียก แป
  • กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน เรียก สะเคาะ, ส่าเคาะส่า
  • เขมร เรียก สะวาย
  • เงี้ยว-ภาคเหนือ เรียก หมักโม่ง
  • จีน เรียก มั่งก้วย

ลักษณะทั่วไป

มะม่วงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10–30 เมตร ใบ ใบเดี่ยวสีเขียว ขอบใบเรียบ ฐานใบมน ปลาย ใบแหลม ดอก เป็นช่อ กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรสีแดงเรื่อๆ ดอกออกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงฤดูร้อนจะติด ผล ผล ยาวประมาณ 5–20 ซม. กว้าง 4–8 ซม. ลูกดิบสีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเหลืองส้ม มีเมล็ดภายใน 1 เมล็ด

การปลูก

มะม่วงควรปลูกในหน้าฝนเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ปลูกกลางแจ้ง การขยายพันธุ์ทำได้โดยการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง

สรรพคุณทางยา

  • ผลสดแก่ รับประทานแก้คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ
  • ผลสุก หลังรับประทานแล้วล้างเมล็ดตากแห้ง ต้มเอาน้ำดื่ม หรือบดเป็นผง รับประทานแก้ท้องอืดแน่น ขับพยาธิ
  • ใบสด 15–30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม แก้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ท้องอืดแน่น เอาน้ำต้มล้างบาดแผลภายนอกได้
  • เปลือกต้น ต้มเอาน้ำดื่ม แก้ไข้ตัวร้อน
  • เปลือกผลดิบ คั่วรับประทานร่วมกับน้ำตาล แก้อาการปวดเมื่อยเมื่อมีประจำเดือน แก้ปวดประจำเดือน

คติความเชื่อ

มะม่วงเป็นต้นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล คนโบราณเชื่อว่าหากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ (ทักษิณ) จะทำให้เจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยมีความร่ำรวยยิ่งขึ้น
มะม่วง

ถาม-ตอบเกี่ยวกับการปลูกมะม่วง


ดร.อาวุธ ณ ลำปาง
ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยพืชไร่บางเขน
คุณสุรชัย  รอดเกษม  ธกส.อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง

ถาม
1.  จะบำรุงต้นและใบมะม่วงอย่างไร  ให้มีช่อดอกมาก และให้ปุ๋ยอะไร ปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยคอก
ตอบ
1. มะม่วง จะมีช่อดอกมาก ต้องปล่อยให้ดินแห้ง(ไม่รดน้ำ) ในเดือนธันวาคม ถ้ามี อากาศเย็นมากระทบประมาณ 10-15 วัน ช่อดอกจะออกเต็มดูสะพรั่ง
ปัญหาต่อไป อยู่ตรงที่ว่า ทำอย่างไรผลจึงจะติดดี  ระยะที่ดอกตูม จะต้องผสมยากำจัดเชื้อราและยาฆ่าแมลงอ่อน ๆ ฉีดพ่นตามช่อ สัก  2-3 ครั้ง  เมื่อมะม่วงติดเป็นผลเล็ก ๆ ขนาดเท่าเม็ดถั่ว ต้องค่อย ๆ รดน้ำ เข้าโคนต้น  และฉีดพ่นช่อช่วยทีละน้อย ๆ ผลจะขยายตัวโต และสมบูรณ์ดี
มะม่วงจะติดผลดีหรือไม่นั้น  ยังขึ้นอยู่กับการให้ปุ๋ยบำรุงรักษาต้นให้ สมบูรณ์อีกด้วย ชาวสวนนิยมให้ปุ๋ยแก่ต้นมะม่วงปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรก ต้นฤดูฝน ครั้งหลังเก็บเกี่ยวผลแล้ว
ปุ๋ยที่ให้มีทั้งปุ๋ยคอกต่าง ๆ และปุ๋ยเคมี ส่วนมากปุ๋ยเคมีที่ให้เป็นปุ๋ยสมบูรณ์ (ปุ๋ยที่มีธาตุ เอ็น-พี-เค ครบทั้ง 3 ตัว)  ถ้าต้องการบำรุงใบ ก็ให้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารตัวหน้าสูง บำรุงทั่ว ๆ ไป ก็ให้ปุ๋ยสูตรเท่า (ธาตุอาหารทั้งสามมีเปอร์เซ็นต์ธาตุเท่ากัน) บำรุงต้น ราก และผล ให้ปุ๋ยที่ธาตุอาหาร ตัวกลาง และตัวหลังสูง

ถาม
2.  เมื่อมะม่วง  ออกดอกกำลังบาน ควรฉีดยาหรือปุ๋ยอะไรดี?

ตอบ
2.  ดอกมะม่วงกำลังบาน เราจะไม่ ฉีดทั้งยาและปุ๋ย  อาจจะพ่นละอองน้ำไปช่วยไม่ให้ช่อแห้งเหี่ยว

ถาม
3.  เมื่อดอกบานแล้วมีลูก  จะทำอย่างไรไม่ให้ลูกร่วง
ตอบ
3.  ค่อย ๆ เพิ่มน้ำให้โคนต้น และอาจใช้ปุ๋ยทางใบฉีดพ่นยอด ก็พอจะลดการร่วงลงได้บ้าง  แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์  ทั้งนี้เกี่ยวกับความสมบูรณ์ของต้น และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย เช่น ลมแรง

รศ.สุนทร  ปุณโณทก

ชื่อมะม่วงหรือนี่...

ช่วงนี้มีมะม่วงหลากหลายพันธุ์ให้เลือกทานได้ตามสะดวก ราคาย่อมเยา ทั้งอร่อยหวานมันและเปรี้ยวจี๊ด ... ทำให้นึกถึงกลอนที่เคยได้รับจากท่าน พระครูสุธรรมนาถ เจ้าอาวาส วัดปลักไม้ลาย ต.ทุ่งขวาง อ.กำแพงแสน
 
 
ท่านพระครูสุธรรมนาถ
     ท่านพระครูสุธรรมนาถ ครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 1 ด้านการแพทย์แผนไทย ซึ่งนอกจากจะมีความรู้ด้านสมุนไพรไทยอย่างดีแล้ว ท่านยังได้อนุรักษ์พืชพันธุ์ชนิดต่าง ๆ  ทั้งไม้หายาก ไม้ยืนต้น พืชสมุนไพร ท่านมีตำรายาโบราณ ชื่อพันธุ์ไม้โบราณ และชื่อมะม่วงโบราณ ซึ่งเมื่อครั้งได้รับกลอนนี้มานั้น คนไม่มีรากเกือบไม่เชื่อว่าเป็นชื่อมะม่วง ท่านเล่าว่าปัจจุบันมะม่วงโบราณบางชนิดได้สูญพันธุ์ไปแล้ว...
 
ชื่อมะม่วงนี้ผูกไว้เป็นกลอน ที่เป็น ตัวหนังสือสีม่วง เป็นชื่อมะม่วงค่ะ ไม่แน่ใจว่ามีการพิมพ์ผิดตกบ้างหรือเปล่า ... ลองดูนะคะ
 
 
 
Dsc03350
        ขอบคุณภาพมะม่วง จาก ครูมิม ค่ะ


พันธุ์มะม่วง
 
 
     จักกล่าวพันธุ์มะม่วง               ท่านทั้งปวงจงรู้ความ
มะม่วงเมืองสยาม                        จะนับนามอเนกนัก
จะจักที่จำได้                             พอคนไทยแจ้งประจักษ์
มีหลากโดยเลิศลักษณ์                 ประเภทพรรคอัมพาผล

     พิมเสนมีดาษดื่น                เป็นภาคพื้นทุกตำบล
รู้จักแทบทุกคน                          ยังประดนพิมเสนมัน
หมอนทอง อกร่องรส                 หวานปรากฏรสสวรรค์
แมวเซามีสองพรรณ                   แมวเซาขาว แมวเซาดำ

     พรวนขออีกพรวนควาย       แก้วแก้วกลายมีประจำ
ควันเทียนแลทองคำ                  มะลิอ่อง ทองปลายแขน
น้ำตาลปากกระบอก                  ขานนามออกทุกดินแดน
มะม่วงนายขุนแผน                      ปลูกเมื่อทับกลับคืนมา

     การเกดอีกไข่ไก่                ทุกเรียนใหญ่สังขยา
ลิงโลดมะลิลา                           แก้วลืมรังหนักลางวัน
กระสวยรสสนิท                         อินทรชิตทศกรรฐ์
แขนอ่อนอีกนวลจันทร์                น้ำตาลจีนเทพรำจวน

     ไข่เหี้ยไข่นกกระสา             กระล่อนป่า กระล่อนสวน
อีกสาวละห้อยหวน                     สาวสะกิดมารดาดู
มะม่วงเทพรำลึก                        แขกขายตึกอีกคราบหมู
กะละแมมีช่อชู                          หนึ่งชื่อว่าชาละวัน
 
     ม่วงพราหมณ์ขายเมียนี้        ดูท่วงทีรสขยัน
เมียรักดังชีวัน                             ยังสู้ขายจ่ายอัมพา
ม่วงสาวกระทืบหอ                      นี้ก็ส่อรสโอชา
สาวอยากจะโภชา                       จนโกรธากระทืบเรือน
 
     มะม่วงพิมเสนสวรรค์            ชื่อทั้งนั้นไม่มีเหมือน
ล่วงชั้นตะวันเดือน                       ถึงสวรรค์ชั้นวิมาน
มะม่วงชื่อรำพึง                          คนคะนึงด้วยรสหวาน
ม่วงเศียรคชสาร                        อีกม่วงบ้านมะม่วงเนย
 
     กระแตลืมรังเรียก                โดยสำเหนียกตามเคย
ค้างคาวลืมลูกเลย                     หลงกินเพลินเนิ่นนานวัน
ทองขาว ทองดำดู                    ขึ้นเป็นคู่แข่งเคียงกัน
แก้วขาว แก้วดำปัน                   เป็นระยะคละกันไป
 
     สุวรรณหงส์เห็น                  แต่เขาเล่นละคอนไทย
เป็นม่วงเสียเมื่อไร                       อยากใคร่รู้ดูหงส์ทอง
โสนน้อยผะอบนาก                    เจ้าเงาะหลากเพื่อนทั้งผอง
กระบุ่ม กระเบาปอง                   เป็นเหมือนเงาะเยาะรจนา
 
     มะม่วงชื่อการเวก                 นามนกเอกในเวหา
หอยแครงแลแตงกวา                หัวกิ้งก่า เหนียงนกกระทุง
คิ้วนางดูน่ากิน                          เทพสินเหมือนชื่อกรุง
แลเห็นเป็นหมู่มุง                        ม่วงสาวน้อยเยี่ยมห้องหวน
 
     หัวโตต้นต่ำเตี้ย                    ผัวตีเมียร้องไห้ครวญ
สาวน้อยสีน้ำนวล                      สาวรัญจวนสาวสวรรค์
มะม่วงผัวพรากเมีย                    คิดน่าเสียใจครันครัน
แก้วพรากแม่จากกัน                  รสสำคัญเห็นรุนแรง
 
     สาริกาลืมรังอยู่                   วัดวังคู่กับแก้มแดง
ม่วงกระกระแอมแฝง                    มะม่วงแฟบแอบพุดไทย
สาวตบอุราร่ำ                           ด้วยระกำจะจำไกล
จากม่วงของชอบใจ                     ตบอุราน่าสงสาร
 
     มะตูมอีกตับเป็ด                 หวานมันเด็ดดุจน้ำตาล
อ้ายฮวบใหญ่ใครไม่ปาน             สับสำปั้น น้ำตาลทราย
มะม่วงเขียวสะอาด                     กำเนิดชาติพิมเสนกลาย
มะม่วงกระจิบลาย                      อีกม่วงล่าหมาไม่แล
 
     ม่วงสาวกระทืบยอด             เดิมนางรอด บุตรตาแห
เดินไปไม่ทันแล                        เหยียบม่วงเล็กเด็กว่าขาน
ม่วงนั้นครั้นใหญ่มา                      ดกระย้าใครจะปาน
จึงตั้งนามขนาน                          กระทืบยอดรอดบาทา
 
     มะม่วงกำมะลอ                    สาเกก่อเป็นสมญา
เทพรสรสโอชา                         อัมพาดื่นพ้นดินดอน
เหลือจะร่ำไห้สุด                         ชื่อสมมตินามกร
นักเรียนพึ่งแรกสอน                     อ่านกลอนเล่นเป็นสำราญ.
 
 
                       ของฝากจากพระครูสุธรรมนาถ 
      วัดปลักไม้ลาย จังหวัดนครปฐม


ทานมะม่วงกันให้อร่อยนะคะ.....
                           (^___^)

นมัสการขอบพระคุณท่านพระครูสุธรรมนาถ
ขอบคุณภาพประกอบจาก ครูมิม
ขอบคุณ คุณกวิน ที่ทำให้เขียนบันทึกนี้